เทรนด์การออกแบบสถาปัตยกรรม อัพเดทปี 2025
ในปี 2025 สถาปัตยกรรมแบบที่ยั่งยืน (Sustainable Architecture) จะยิ่งกลายมาเป็นเทรนด์มากขึ้น การออกแบบอาคารจะเน้นการสร้างให้มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น มีความยืดหยุ่น และใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าที่สุด ขณะเดียวกันก็เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน สถาปนิกใช้วัสดุรีไซเคิลและออกแบบโครงสร้างที่ปรับเปลี่ยนหรือซ่อมแซมได้ง่ายแทนที่จะรื้อถอน แนวทางนี้ช่วยลดขยะ ประหยัดเงิน และช่วยให้อาคารยังคงใช้งานได้และมีคุณค่าเป็นเวลาหลายปี
Cibes Lift ผู้นำการขับเคลื่อนวงการลิฟท์บ้านอย่างยั่งยืน
Cibes Lift เป็นบริษัทที่ขึ้นชื่อในด้านการผลิตลิฟท์บ้านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีนวัตกรรมที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยออกแบบลิฟท์ของ Cibes นั้นถูกออกแบบมาให้ใช้พื้นที่น้อยลง ยกตัวอย่างเช่น ลิฟท์บ้านและหรือลิฟท์ขนาดเล็กที่ใช้ในอาคารไม่จำเป็นต้องสร้างปล่องลิฟท์ขนาดใหญ่ แต่ลิฟท์ของเรามาพร้อมปล่องกระจก ซึ่งช่วยประหยัดพื้นที่และช่วยลดการใช้ทรัพยากร ช่วยลดขยะและแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีมีประโยชน์และดีต่อโลกอย่างไร
แนวโน้มสำคัญ 10 ประการที่จะกำหนดทิศทางของสถาปัตยกรรมที่ยั่งยืนในปี 2025
สถาปนิกและบริษัทก่อสร้างกำลังละทิ้งแนวทางการรื้อถอนและสร้างใหม่แบบเดิม ๆ โดยเลือกที่จะนำโครงสร้างที่มีอยู่แล้วมาใช้ใหม่ด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น ลิฟท์บ้าน กลยุทธ์นี้ช่วยรักษาความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไว้ พร้อมทั้งลดขยะและการปล่อยคาร์บอนให้เหลือน้อยที่สุด ด้วยการบูรณาการลิฟท์บ้าน อาคารที่นำกลับมาใช้ใหม่เหล่านี้ช่วยเพิ่มการเข้าถึงและการใช้งาน ซึ่งสอดคล้องกับหลักการออกแบบแบบวงจร ปัจจุบัน แนวโน้มนี้ได้ขยายไปสู่การนำอาคารทั้งหมดมาใช้ใหม่ การนำชีวิตใหม่มาสู่โครงสร้างเก่าด้วยลิฟท์บ้านเพื่อเพิ่มการเคลื่อนที่ และรับรองความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการในอนาคต
1.เน้นการออกแบบที่ผสมผสานธรรมชาติ (Nature-Infused Design)
อาคารต่าง ๆ ได้รับการออกแบบให้รวมเอาธรรมชาติเข้ามาไว้ด้วยกัน เช่น ต้นไม้ แสงแดด และแหล่งน้ำ ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงเพื่อให้ดูดีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้คนรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้นด้วย ยกตัวอย่างเช่น การออกแบบสำนักงานที่มีสวนในร่มและแสงธรรมชาติสามารถทำให้พนักงานมีความสุขมากขึ้น ดังนั้นการออกแบบที่เน้นการผสมผสานธรรมชาตินี้สามารถเชื่อมโยงผู้คนเข้ากับธรรมชาติและสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีได้อย่างยั่งยืน
2.เน้นการออกแบบสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย (Inclusive Environments)
ในปัจจุบัน บ้านและอาคารต่างๆ ได้รับการออกแบบให้ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ใช่แค่พื้นที่สาธารณะเท่านั้น คุณสมบัติต่าง ๆ เช่น ทางลาด ประตูทางเข้าที่กว้างขึ้น และลิฟท์บ้านอย่าง Cibes Lift Uno ก็ช่วยให้ผู้พิการสามารถสัญจรไปมาได้ง่ายขึ้น ด้วยเหตุนี้ การออกแบบเหล่านี้จึงสร้างบ้านที่ทุกคนรู้สึกเท่าเทียมกันและมีส่วนร่วม
3.เน้นการออกแบบควบคู่ไปกับอุปกรณ์อัจฉริยะ (Integrated Smart Solutions)
ในปี 2025 Smart Living จะกลายเป็นบรรทัดฐานของสังคม อาคารต่าง ๆ จะใช้เทคโนโลยีมากขึ้น เช่น ลิฟท์อัจฉริยะ ระบบประหยัดพลังงาน และอุปกรณ์ Smart Home เพื่อให้ชีวิตง่ายขึ้นและยั่งยืนมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ในปัจจุบันนี้บ้านอัจฉริยะสามารถปรับแสงและอุณหภูมิโดยอัตโนมัติเพื่อประหยัดพลังงาน ด้วยเหตุนี้ นวัตกรรมเหล่านี้จึงสร้างพื้นที่อยู่อาศัยที่สะดวกสบาย มีประสิทธิภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
4.เน้นการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง (Resilient Infrastructure)
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อโลก อาคารต่าง ๆ จึงได้รับการออกแบบให้รับมือกับความท้าทายต่าง ๆ เช่น น้ำท่วมและพายุ สถาปนิกจึงใช้วัสดุที่ทนทานต่อความเสียหายจากน้ำและวางแผนระบบระบายน้ำที่ดีขึ้นในเมือง ยกตัวอย่างเช่น บ้านบางหลังถูกยกสูงจากพื้นดินเพื่อป้องกันความเสียหายจากน้ำท่วม ด้วยเหตุนี้ อาคารเหล่านี้จึงยังคงแข็งแรงในสภาวะที่ยากลำบาก และช่วยให้ชุมชนปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้
5.เน้นการออกแบบให้มีความสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม (Passive Design)
สถาปนิกใช้เทคนิคจากธรรมชาติเพื่อประหยัดพลังงานในอาคาร เช่น การวางหน้าต่างเพื่อรับลม การเพิ่มม่านบังตาเพื่อปิดกั้นความร้อน และการออกแบบให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามา ยกตัวอย่างเช่น บ้านที่มีหน้าต่างอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมอาจเย็นสบายโดยไม่ต้องใช้พัดลม ด้วยเหตุนี้ การออกแบบโดยที่คำนึงถึงสภาพแวดล้อมจะช่วยทำให้บ้านและอาคารต่าง ๆ สะดวกสบายในขณะที่ลดการใช้พลังงานและต้นทุนลงในระยะยาว
6.เน้นระบบก่อสร้างแบบสำเร็จรูป (Modular Construction)
เทคนิคนี้เปรียบเสมือนการสร้างบ้านด้วยชิ้นส่วนสำเร็จรูป ซึ่งช่วยประหยัดเวลา ลดขยะ และทำให้การก่อสร้างง่ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การติดตั้งลิฟท์ระบบสกรูของ Cibes เป็นไปได้อย่างง่ายดายเพราะไม่ต้องมีการสร้างปล่องลิฟท์เหมือนสมัยก่อน เพราะชิ้นส่วนต่าง ๆ ของลิฟท์ Cibes สามารถแยกชิ้นส่วนขนส่ง และนำมาประกอบที่บ้านหรืออาคารได้อย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ต้องปรับปรุงหรือทำพื้นที่หน้างานให้ยุ่งยาก ส่งผลให้การสร้างอาคารเสร็จได้เร็วขึ้นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
7.เน้นวัสดุที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ (Health & Well-being Materials)
ปัจจุบันอาคารต่าง ๆ ถูกสร้างขึ้นด้วยวัสดุที่ดีสำหรับทั้งคนและสิ่งแวดล้อม สถาปนิกเลือกใช้วัสดุต่าง ๆ เช่น สีที่ไม่เป็นพิษ วัสดุรีไซเคิล และไม้จากแหล่งที่ยั่งยืน เพื่อสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น บ้านอาจใช้พื้นไม้ไผ่ อิฐรีไซเคิล และสีสารอินทรีย์ระเหยต่ำ (LOW VOC) เพื่อรักษาอากาศให้สะอาดและลดขยะ บางคนยังใช้ฉนวนที่ทำจากผ้าเดนิมเก่าแทนไฟเบอร์กลาสแบบดั้งเดิมอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ อาคารเหล่านี้จึงมีอากาศภายในอาคารที่สะอาดกว่า ปลอดภัยกว่าในการอยู่อาศัย และส่งผลกระทบต่อโลกน้อยกว่า ส่งเสริมวิธีการก่อสร้างที่ยั่งยืนมากขึ้น
9.การออกแบบที่เน้นชุมชนเป็นศูนย์กลาง (Community-Centered Design)
การออกแบบนี้เน้นที่การสร้างพื้นที่ที่ตอบสนองความต้องการของชุมชนในท้องถิ่น สถาปนิกควรรวบรวมข้อมูลจากผู้อยู่อาศัยเพื่อให้แน่ใจว่าการออกแบบครอบคลุมและใช้งานได้จริง ยกตัวอย่างเช่น สวนสาธารณะในละแวกใกล้เคียงอาจมีทางลาดสำหรับรถเข็นเด็กและรถเข็นคนพิการ ทางเดินกว้าง และที่นั่งที่มีร่มเงาสำหรับผู้สูงอายุที่มาเยี่ยมเยียน หรือในบ้านสามารถติดลิฟท์เพื่อทุกคนในครอบครัวสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ใช้วีลแชร์ รวมไปถึงคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ การออกแบบที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างพื้นที่ที่สะดวกสบายและเป็นมิตรสำหรับทุกคน
10.เน้นการออกแบบแบบฟื้นฟู (Regenerative Design)
การออกแบบที่ฟื้นฟูไปไกลกว่าความยั่งยืน โดยช่วยให้ธรรมชาติฟื้นตัวและเติบโต สถาปนิกออกแบบอาคารที่ฟื้นฟูระบบนิเวศ สนับสนุนสัตว์ป่า และปรับปรุงชุมชนในท้องถิ่น ยกตัวอย่างเช่น อาคารที่มีสวนบนดาดฟ้าที่ช่วยฟอกอากาศและดึงดูดผึ้งถือเป็นอาคารที่ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมได้ ดังนั้น การออกแบบเหล่านี้จึงช่วยปรับปรุงสิ่งแวดล้อมและทำให้ชุมชนมีสุขภาพดีและมีความสมดุลมากขึ้น
แนวโน้มเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสถาปัตยกรรมที่ยั่งยืนในปี 2025 มุ่งเน้นไปที่การสร้างพื้นที่ที่คำนึงถึงผู้คนและโลกอย่างไร
การสร้างอนาคตที่ยั่งยืนในงานสถาปัตยกรรม
ในปี 2025 สถาปัตยกรรมที่ยั่งยืนจะเน้นที่การสร้างอาคารที่ทนทาน ปรับเปลี่ยนได้ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แนวโน้มสำคัญ ได้แก่ การใช้องค์ประกอบจากธรรมชาติ เช่น พื้นที่สีเขียว เพื่อปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดี การออกแบบพื้นที่ที่ทุกคนเข้าถึงได้ และการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้เพื่อประสิทธิภาพการใช้พลังงาน บริษัทต่าง ๆ เช่น Cibes Lift เป็นผู้นำในด้านลิฟท์บ้านที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยเทคโนโลยี EcoSilent ที่ช่วยประหยัดพลังงานกว่าลิฟท์ปกติ ซึ่งสอดคล้องกับการผลักดันความยั่งยืน พร้อมกับเทรนด์นวัตกรรมอื่น ๆ เช่น การก่อสร้างแบบสำเร็จรูป วัสดุที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หรือการออกแบบแบบฟื้นฟู มีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างพื้นที่ที่ยืดหยุ่นและยั่งยืน แนวทางเหล่านี้รวมกันเพื่อสร้างอนาคตที่การออกแบบมาบรรจบกับความยั่งยืน ส่งเสริมให้ชุมชนมีความแข็งแกร่งและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ กับลิฟท์บ้านแบรนด์ Cibes Lift ได้ที่ บริษัท ซีเบส ลิฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด
Showroom ลิฟท์ที่กรุงเทพฯ
2113, 1 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10310
Showroom ลิฟท์ที่เชียงใหม่
123/6 หมู่ 15 ถนนชลประทาน ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 50200
Showroom ลิฟท์ที่ภูเก็ต
20/82 (Park plaza D) หมู่ 2 ถนนเทพกระษัตรี ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต 83000
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับลิฟท์บ้านระบบสกรูของเรา สามารถติดต่อเราได้ที่ https://www.cibeslift.co.th/homelift-form เพื่อรับการติดต่อกลับพร้อมนำเสนอราคา